วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

กลุ่มเอ็ฟเฟ็ค (Effects units)

        คืออุปกรณ์อีเล็กทรอนิก ซึ่งดัดแปลง  สิ่งที่เกิดจาก เครื่องดนตรี( Musical instrument) หรือแหล่งกำเนิดเสียงอื่นๆ เอ็ฟเฟ็ค บางชนิดเหมาะกับการแต่งสีสันให้กับเสียง ขณะที่ชนิดอื่นเปลี่ยนแปลงเสียงเพื่อความเร้าใจ (dramatically) เอ็ฟเฟ็ค สามารถใช้ระหว่างการแสดงสด ซึ่งมักถูกใช้กับ กีต้าร์ไฟฟ้า (electric guitar), คีย์บอร์ด (keyboard), หรือ เบส (bass) หรือการบันทึกเสียงในสตูดิโอ (studio)
       ในขณะที่ส่วนใหญ่เรามักจะใช้กับเครื่องไฟฟ้าหรืออิเล็กทรอนิก เอ็ฟเฟ็คก็ยังสามารถใช้กับเครื่องอะคูสติก (acoustic instruments) และ กลองชุด ตัวอย่างเอ็ฟเฟ็คที่นิยมใช้กันคือ แป้นวาว (wah-wah pedals) กล่องเสียงแตก (fuzzboxes) และกลุ่มรีเวิร์บ (reverb units)

wah-wah pedals




fuzzboxes

        กลุ่มเอ็ฟเฟ็ค มาในหลากหลายรูปแบบ ที่แพร่หลายมากที่สุดคือแบบ “ชุดเหยียบ stompbox” และแบบ “ใส่แร็ค rackmount” หรือ เอ็ฟเฟ็คแบบ บิลท์อิน Built-in คือติดตั้งอยู่ในตู้แอมป์หรือ มิกเซอร์ เพื่อความสะดวกและประหยัด ในปัจจุบันการแบ่งประเภทของเอ็ฟเฟ็ค และการเรียกชื่อชนิด อาจมีความเห็นไม่สอดคล้องกันในแต่ละค่ายของผู้ผลิตคิดค้นอุปกรณ์เหล่านี้

cr.numneungguitar





แอมป์กีตาร์ไฟฟ้า
- Guitar Amplifiers   


  
   
File:Marshall Anniversary edition guitar amplifiers.jpg


          แอมป์ คือเครื่องที่ทำหน้าที่ขยายเสียงของเครื่องดนตรีหลายชนิด แอมป์สำหรับกีตาร์ไฟฟ้าจะออกแบบมาสำหรับกีตาร์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ มีหน้าที่คือ ขยายเสียงกีตาร์ไฟฟ้าให้ดัง
          ในเรื่องแอมป์ของกีตาร์ไฟฟ้านั้น เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เพราะการขยายเสียงของแอมป์แต่ละตัวนั้นจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน แอมป์มีหลายยี่ห้อ หลายขนาด การออกแบบของแต่ละรุ่นก็ไม่เหมือนกัน โดยขึ้นอยู่กับความพึงพอใช้ของผู้ใช้   
         สิ่งที่ต้องคำนึงอันดับแรกในการพิจารณาซื้อแอมป์สำหรับกีตาร์ คือ ขนาดและประเภท เพราะขนาดของแอมป์ จะบ่งบอกว่าเราจะเอาไปเล่นในที่แบบไหน และเพื่อจุดประสงค์อะไร หากเราเอาไว้ซ้อมที่ห้อง ขนาดก็ไม่จำเป็นต้องใหญ่มาก วัตต์ก็ไม่ต้องเยอะ แต่หากว่าเราเอาไปเล่นเป็นวงที่มีกลองจริง แอมป์ก็จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่พอที่จะสู้กับเสียงกลอง เสียงร้อง หรือเบส และคีย์บอร์ดได้
     
         
 แบ่งขนาดแอมป์กีตาร์เป็น 4 ขนาด คือ ใหญ่ กลาง เล็ก และขนาดแบบเล็กจิ๋ว  ความต่างในแต่ละขนาดคือ ความดัง (กำลังวัตต์ขยาย) (ขนาด คือ จำนวนของลำโพง)
          1.ขนาดใหญ่ คือ ความดังในระดับที่มากที่สุด 100 วัตต์ขึ้นไป ใช้ลำโพง 12 จำนวน 2-4 ดอก อาจเป็นแบบหัวแยกหรือคอมโบ(แบบรวมในตู้เดียว) เหมาะกับใช้เล่นบนเวทีกลางแจ้ง หรือเวทีใหญ่ๆ ซึ่งต้องการความดัง อาจจะมีการใช้หลายๆ ตู้ โดยการพ่วงกัน





          2.ขนาดกลางๆ คือ ไม่ดังมาก ขนาด 50-100 วัตต์ ลำโพง 10-12 นิ้ว ติด 1-2 ตัว /ตู้  ใช้เล่นที่เล็กลง อย่างร้านอาหาร ผับที่ไม่ใหญ่มาก วงที่เล่นไม่ดังมาก






          3.ขนาดเล็ก คือ ขนาดที่สามารถหิ้วไปมาได้สะดวก ลำโพงก็ 5-10 นิ้ว กำลังแอมป์วัตต์ก็ 5-15 วัตต์ เหมาะสำหรับเป็นแอมป์สำหรับการซ้อม ที่บ้านหรือห้องนอน



BEHRINGER GM108 ตู้แอมป์กีต้าร์สไตล์โมเดิร์น ขนาด 15 วัตต์ สินค้าใหม่ - คลิกที่นี่เพื่อดูรูปภาพใหญ่




          4.ขนาดจิ๋ว คือ แอมป์หูฟังทั้งหลาย ใช้เล่น ซ้อม โดยไม่ให้เสียงรบกวนคนอื่น หรือไม่ต้องการให้เกิดเสียงดังมากเกินไป พกพาสะดวก ใช้ถ่าน

     Mini Guitar Amplifier
         
        สำหรับแอมป์ขนาด ระดับใหญ่-กลาง มักจะใช้ผสมกันอยู่แล้วแต่วงดนตรีแต่ละวง ขึ้นอยู่กับนักดนตรีว่าต้องการให้เสียงที่เล่นดังแค่ไหน         
         ประเภทของแอมป์ มี
2 อย่าง คือ แอมป์หลอด และทรานซิสเตอร์ 
ส่วนใหญ่แอมป์จะเป็นแบบทรานซิสเตอร์ และหลอดล้วน หรือผสมกัน แต่ราคาแอมป์หลอดก็จะสูงกว่าแอมป์ทรานซิสเตอร์ เป็น2 เท่า เพราะผลิตจำนวนน้อยกว่า 

แอมป์กีตาร์ที่ดีควรมีอะไรบ้าง
?
          หากเราไม่มี Effects ใช้ แอมป์กีตาร์ที่มีก็ต้องจำเป็นให้ครบทุกอย่าง ทุกส่วนประกอบ แต่หากมือกีตาร์มี Effect เป็นแผงอยู่ตรงพื้นแล้วล่ะก็ แอมป์ channel เดียวก็เพียงพอ แต่แอมป์กีตาร์ที่ผลิตมาขายไม่ได้คิดอย่างที่ว่ามา เลยให้มา 2 channel เป็นส่วนใหญ่ ส่วน Effect ก็มีบ้างไม่มีบ้าง แล้วแอมป์ที่ให้ครบทุกอย่างเป็นอย่างไร? 
1. เป็นสิ่งที่สำคัญมากคือต้องมีเสียงที่ดี 
2. ควรมี 2 Channel สำหรับเสียงคลื่นธรรมดา กับ เสียงแตกOverdrive-Distortion พร้อม Volume แยกแต่ละ Channel  ปุ่มปรับTone ทุ้ม กลาง แหลม ทั้ง 2 Channel ยิ่งมีให้ปรับมากยิ่งดี
3. มี Master Volume สำหรับความดังโดยรวม ซึ่งจะเร่งไปทั้ง 2 Channel
4. มี Effect ให้เพียงพอกับการเล่นทั่วไป คือ Reverb - Delay - Chorus อื่นๆ ของแถม คือ ช่อง CD IN , ช่องเสียบหูฟังสำหรับซ้อม ช่อง Line out , มีช่อง Loop Effect Send-return , Speaker out สำหรับต่อลำโพงเพิ่ม เพื่อให้ดังขึ้น

 


Cr. Maximum Sound                 


วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ประวัติกีตาร์ไฟฟ้ายี่ห้อต่างๆ (7)


Schecter

 


          ร้านซ่อมกีตาร์ Schecter ถูกเปิดขึ้นครั้งแรกในปี 1976 โดยเดวิด Schecter ในแวนนายส์แคลิฟอร์เนีย และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของโรงงานที่ผลิตกีต้าร์จำนวนมากมายขึ้นมาในอนาคต ร้านซ่อมกีตาร์ผลิตชิ้นส่วนอะไหล่ทดแทนและจัดที่สุดทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับคุณในการทำกีตาร์ แต่ไม่ได้มีการสร้างแบรนด์ตัวเอง ในช่วงเวลานั้น ลูกค้าหลักของพวกคือ บริษัท ผลิตกีตาร์ใหญ่กิบสันและเฟนเดอร์
          ในที่สุดในปี 1979 Schecter เริ่มทำกีต้าร์ของตัวเองเพื่อจะขายให้กับนักกีต้าร์ทั่วไป การออกแบบอยู่บนพื้นฐานของการออกแบบกีตาร์ Fender และมีราคาแพงมากเพราะส่วนที่มีคุณภาพสูงและจำนวนที่ผลิตได้น้อย ในระหว่างนั้น Pete Townshend ได้ชื่นชอบกีตาร์ Schecter ในทันทีที่เขาได้สัมผัสมัน เพราะตรงทางกับเพลงที่เขาใช้เล่นอยู่Mark Knopfler จากสเตรทส์เป็นศิลปินรายต่อไปสูงที่ชื่นชอบกีตาร์ Schecter เขาจะมาลงเอยกับกีตาร์ Schecter หลายปีที่ผ่านและหนึ่งขายได้ในการประมูล 50,000 ดอลลาร์สำหรับในปี 2004
         ในปี 1983 Schecter หมดทรัพยากรและไม่สามารถที่จะผลิตกีต้าร์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดังนั้นบริษัทกีตาร์ Schecter จึงจบลงด้วยการขายบริษัทของพวกเขาให้กับกลุ่มของนักลงทุนเท็กซัสซึ่งเป็นตระหนักดีถึงชื่อเสียงที่ดีของชื่อ Schecter และคุณภาพสูงสุดของกีต้าร์ของพวกเขา รู้นี้เจ้าของคนใหม่คาดว่าจะสามารถที่จะทำกำไรได้ด้วยการขยายการดำเนินงานและการเคลื่อนย้ายของ บริษัท ที่จะดัลลัส, เท็กซัส แต่น่าเสียดายที่การโยกย้ายนี้ทำได้ไม่ดีเพราะพนักงานดั้งเดิมส่วนใหญ่ไม่ย้ายไปที่เท็กซัสและนี้ก็นำไปสู่การออกแบบที่ย่ำแย่ลง รวมถึงคุณภาพที่ต่ำลงจากการออกแบบโดยพนักงานชุดใหม่ กีต้าร์ที่ถูกผลิตในเวลานี้จึงถูกกล่าวถึงในแง่ของสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ  แม้ว่าพวกเขากำลังอยู่ในสภาวะที่ยากลำบากนี้ แต่ Schecter ก็ยังพยายามที่จะสร้างชื่อเสียงขึ้งใหม่โดยใช้ชื่อของ Yngwie Malmsteen เพื่อรับรองกีตาร์ของพวกเขา พวกเขายังปล่อยรุ่นใหม่หลายคนรวมทั้งกีตาร์สไตล์แคสเตอร์ที่ Pete Townshend เรียกว่า ดาวเสาร์ รูปแบบที่นิยมของพวกเขามาจากพื้นฐานในการออกแบบของ รุ่นStratocaster ถึงแม้จะมีการออกแบบใหม่ๆ มาช่วยก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังประสบปัญหาในการระบายของที่ถูกเชื่อว่าเป็นของเกรดคุณภาพต่ำ
        ในปี 1987 บริษัท ฯ ได้ถูกซื้อไปโดยผู้ประกอบการชาวญี่ปุ่นที่ชื่อ Hisatake ชิบูย่า Hisatakeไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเครื่องดนตรี และ ดนตรี เขาเป็นเจ้าของกีตาร์ ESP สถาบันดนตรีในฮอลลีวู้ด เขาย้าย Schecter กลับไปแคลิฟอร์เนียและในไม่ช้านำชื่อเสียงของ บริษัท กลับไปทางที่มันเคยเป็น บริษัท กลับไปใช้วิธีการเดิมของการผลิตที่มีคุณภาพสูง กีต้าร์สั่งทำที่มีราคาสูง กีต้าร์ถูกสร้างขึ้นในจำนวนที่น้อย และแจกจ่ายให้ตัวแทนจำหน่ายที่น้อย
        ในปี 1996 Hisatake ได้ทำการว่าจ้าง ไมเคิล Ciravolo .shเป็นประธานของ Schecter ไมเคิลเป็นนักดนตรีที่มีประสบการณ์และเคยเป็นพนักงานที่ทำงานในร้ายกีต้าร์ของ Hisatake Ciravolo จบลงด้วยการที่นำในบางนักดนตรีรายละเอียดสูงเพื่อรับรองกีตาร์ Schecter รวมทั้งโรเบิร์ต DeLeo และฌอน Yseult (Zombie สีขาว) ไมเคิล Ciravolo ยังไม่ชอบการออกแบบสไตล์ Fender เขาจึงพัฒนาออกแบบใหม่ในรูปแบบ Avenger, Hellcat and Tempest เขายังต้องการที่จะผลิตกีตาร์ราคาไม่แพงมากและเปิดโรงงานใน Inchon, เกาหลีใต้ซึ่งในขณะเวลานี้ ไมเคิลสร้างความมั่นใจว่ากีต้าร์ของเขาจะได้รับการผลิตออกมาอย่างมีคุณภาพเช่นเดียวที่ได้รับการผลิตทั้งหมด ส่วนที่ถูกสร้างขึ้นในโรงงานชาวเกาหลีใต้และจากนั้นส่งไปยังร้านค้าของพวกเขาในสหรัฐกีตาร์ที่จะประกอบ นี้จะนำไปสู่การสร้างรุ่น Diamond Series Schecter Guitars








cr.salimz

ประวัติกีตาร์ไฟฟ้ายี่ห้อต่างๆ (6)


Hamer  




         Hamer เป็นกีต้าร์ที่หลายๆคนมองข้ามไป อาจเป็นเพราะ แบรนด์ไม่ติดหูหรือ ไม่ค่อยมีคนนิยมใช้ หากแต่ว่ากีต้าร์ยี่ห้อเป็นกีตาร์ที่มีมานานแล้วไม่ต่ำกว่า 30 ปี มีต้นกำเนิดในประเทศสหรัฐอเมริกา








cr.salimz

ประวัติกีตาร์ไฟฟ้ายี่ห้อต่างๆ (5)


Ibanez

  

                         



        Ibanez ในหมู่ร็อคเกอร์ทั่วโลกไม่มีใครไม่รู้จักกีตาร์ยี่ห้อนี้อย่างแน่นอน ด้วยประวัติศาสตร์ที่มีมายาวนาน
 
        ยี่ห้อ Ibanez มีที่มาจากปี 1929 เมื่อ Hoshino Gakki นำเข้ากีตาร์ยี่ห้อ Salvador Ibanez จากสเปน เมื่อโรงงานของ Salvador Ibanez ถูกทำลายในช่วงสงครามกลางเมืองในสเปน กีตาร์ยี่ห้อนี้ก็เลยไม่มีขายอีกต่อไป Hoshino Gakki ก็เลยไปซื้อยี่ห้อ(แบรนด์) มาแล้วก็เริ่มทำกีตาร์สเปนขายเองในช่วงปลายปี 1935 แล้วก็เปลี่ยนชื่อยี่ห้อเป็น Ibanez ในภายหลัง
       
        หากคุณต้องการประวัติทั้ง หมด Ibanez คุณต้องย้อนอดีตกลับไปในปี 1908 เมื่อ บริษัท ชื่อ Hoshino เริ่มเป็นที่เก็บเพลงแผ่นและจัดจำหน่ายสินค้าเพลงต่อไปในนาโกย่าประเทศ ญี่ปุ่น ตัดเรื่องขายแผนเพลง เข้าเรื่องกีตาร์กันดีกว่า กลับไปเมื่อปี '45 เมื่อ Hoshino เริ่มจำหน่ายกีตาร์สเปนชื่อ Ibanez และในช่วงปี '60 เมื่อ Hoshino ที่ตามเวลาที่ได้ซื้อสิทธิ์ในชื่อ Ibanez เริ่มส่งกีต้าร์ดูจี๊ดจ๊าดอย่างเหลือเชื่อในสหรัฐอเมริกาหลายแห่งที่มีการ จำหน่ายจริงในห้างสรรพสินค้า
     
         Ibanez เริ่มต้นเกือบ 30 ปีมาแล้วเมื่อ Hoshino เปิดสำนักงานใกล้ Philadelphia, PA เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดจำหน่ายกีต้าร์ Ibanez ไปทั่วสหรัฐอเมริกา ส่วนใหญ่กีต้าร์ที่มี คุณภาพสูง Ibanez นั้นมีชื่อเสียงพอตัว แต่ไม่แพงมาก

        ยุคแรกๆIbanez เป็นกีตาร์ที่Coppyรูปทรงของยี่ห้อดังๆขาย เหมือนBaracuda ทำให้ช่วงปี75 โดนGibsonฟ้อง จุดนี้เอง Ibanez เริ่มการออกแบบของตัวเองคือ Iceman (ทำครั้งแรกที่มีชื่อเสียงโดย Paul Stanley วงKiss และ guitars George Benson, นักดนตรีแจ๊สออกแบบกีตาร์แจ๊สครั้งแรก ทำให้กีต้าร์ Ibanez ต่อเพื่อเพิ่มมูลค่าคุณค่าแก่การสะสมสะสม  โดย ยุค 80 ที่มีความสนใจในกีตาร์ที่เพิ่มขึ้นกับ Ibanez ร่วมกับผู้เล่นเช่น Steve Vai, Joe Satriani และ Paul Gilbert และนำออก Jem, JS, RG และรุ่น S วันนี้รุ่นปัจจุบันเช่น รุ่นนี้ถือว่ายังคงมาตรฐานในฮาร์ดร็อคกีต้าร์ โดยเฉพาะรุ่น Jem ของ Steve Vai และ RG550สร้างชื่อเสียงให้กับIbanezมากๆ จนประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม และIbanez ก็สร้างชื่อในด้านกีตาร์แจ๊สด้วย คือ George Benson และ John Scofield

                                

                                




cr.salimz

ประวัติกีตาร์ไฟฟ้ายี่ห้อต่างๆ (4)



Epiphone


  

       Epiphone เป็นกีต้าร์ที่มีต้นกำเนินที่ประเทศกรีซ ในปี 1873 ชื่อEpiphone  มาจากชื่อของเจ้าของกิจการ Epamainondas  กับคำว่า เสียง phone ในกรีซ เจ้าของกิจการเป็นเพื่อนกันกับ les pual ทางด้าน les pual ได้เข้ามาดูโรงงานของ epin ในปี 1941 เพื่อประกอบกีต้าร์ลำตัวตันตัวแรกของ Epiphone  ชื่อรุ่น The log  แล้วได้ให้คำแนะนำต่างๆ จากนั้น ทาง Gibson ที่ les pual เป็นเจ้าของได้ซื้อกิจการรวมเป็นบริษัทเดียวกัน












cr.salimz

ประวัติกีตาร์ไฟฟ้ายี่ห้อต่างๆ (3)


Gibson 

 

          Gibson บริษัทผลิตกีตาร์ ทั้งกีตาร์โปร่งและกีตาร์ไฟฟ้า กำเนิดขึ้นโดย นาย Orville H. Gibson ในปี 1856 ทางตอนเหนือของนิวยอร์ก แต่หากกล่าวถึงการกำเนิดของกีต้าร์ที่กลายเป็นตำนานอย่าง Gibson Les Paul เราคงจะต้องนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปปี 1941 ตอนนั้นปู่เลส พอล อายุ 26 ระหว่างการแสดงดนตรีกลางแจ้งคืนหนึ่งมีคนฟังบ่นให้ฟังว่าเขาไม่ค่อยได้ยินเสียงกีต้าร์ของเลส พอล เลย ว่าแล้วปู่เลส พอล ก็กลับไปบ้านจัดการดึงเอาหัวเข็มที่ติดอยู่บนเครื่องเล่นแผ่นเสียงของพ่อมาติดที่บริดจ์กีต้าร์จากนั้นก็ต่อวงจรไฟฟ้าให้เสียงไปออกที่ PA ทีนี้ทุกคนก็ได้ยินเสียงของปู่เลส พอล ชัดเจน แต่ปัญหาอย่างนึงที่ตามมาคือซาวน์โฮลของกีต้าร์โปร่งมันทำให้เกิดปี๊คแบ็ค ปู่เลส พอล ก็เลยเอาเศษผ้าและปูนปลาสเตอร์อุดเข้าไป แต่ว่ามันทำให้กีต้าร์หนักมากเกินไป

       ปู่เลส พอล เลยตัดสินใจสร้างกีต้าร์ลำตัวตันขึ้นมาเอง ด้วยการงัดเอาไม้หมอนรางรถไฟมาใส่สายกีต้าร์แล้วก็ติดหัวเข็มแผ่นเสียงไว้ที่บริดจ์ เมื่องเล่นดูพบว่ามันให้เสียงที่เพอร์เฟ็กต์ทีเดียวเขาเลยไปให้แม่ดูด้วยความภาคภูมิใจแต่กลับได้รับคำวิจารณ์ว่า "คงไม่มีใคร(บ้า)กล้าถือมันออกไปเล่นหรอก" ปู่เลส พอล ไม่ยอมแพ้ เขาเอากลับมาปรับปรุงหน้าตาใหม่ ทีนี้เปลี่ยนเป็นท่อนไม้หน้า 4x4 นิ้วมาติดอุปกรณ์เหมือนเดิม เสร็จแล้วก็เอาออกไปแสดงสดกับวงด้วยความปลื้มสุดๆเพราะปู่เลส พอล เล่าว่าคนดูไร้การตอบสนองโดยสิ้นเชิง ปู่เลส พอล จึงกลับมาดีไซน์และสร้างกีต้าร์ขึ้นใหม่โดยไปใช้โรงงานของ Epiphone โดยยังคงใช้ท่อนไม้อันเดิม แต่เอามาติดปีดสองข้างที่เอาจากกีต้าร์ Epiphone ทีนี้ปู่เลส พอล ก็ได้กีต้าร์ไฟฟ้าลำตัวตัวที่มีรูปร่างหน้าตาดูสมเป็นกีต้าร์ขึ้นมาแล้วครับ แล้วเอาไปเล่นสดอีกครั้ง ทีนี้คนดูปรบมือเกรียวเลยครับ ปู่เลส พอล จึงได้ตระหนักว่า "ที่แท้คนฟังเขาฟังเพลงกันด้วยตา!!!" เพราะจริงๆแล้วมันก็เป็นท่อนไม้ท่อนเดิมเพียงแต่นำไปติดปีกและกีต้าร์ตัวนี้ก็คือ "The Log" หนึ่งในต้นกำเนิดของกีต้าร์ไฟฟ้าลำตัวตันนั่นเองในความคิดของปู่เลส พอล

        "The Log" คือกีต้าร์ไฟฟ้าลำตัวตันที่จะสามารถเปลี่ยนโฉมหน้ากีต้าร์แบบเดิมๆ เขาจึงนำไอเดียอันแสนบรรเจิดนี้ไปเสนอบริษัท Gibson แต่คนที่นั่นกลับมองว่ามันเป็นความคิดที่ไม่ได้ท่า แถมยังเรียก The Log ของปู่เลส พอล ว่า" เป็นแท่งไม้กวาดติดปิ๊คอัพ"อีกต่างหาก ทำให้ช่วงทศวรรษ '40 ปู่เลส พลอ ต้องเก็บไอเดียกีต้าร์ไฟฟ้าลำตัวตันใส่ลิ้นชักไปคือเราต้องเข้าใจก่อนว่าช่วงทศวรรษ '40 กีต้าร์ที่มีลำตัวโปร่งเป็นที่นิยมอย่างมาก ถ้าไม่มีซาวด์โฮมันก็คือแท้งไม้กวาดหรือไม่ก็ไม่เบสบอล และช่วงนั้นเป็นยุคทองของดนตรี "บิ๊กแบนด์"ที่โดดเด่นด้วยเครื่องเป่าทองเหลืองและเครื่องลมไม้ เป็นยุคแห่งดนตรี "สวิง" นอกจากนั้นมันยังเป็นอคติลึกๆ ว่าเครื่องดนตรีไฟฟ้าทำให้คุณค่าของศิลปิะลดลงช่วงทศวรรษ '50 Leo Fender เปิดตัวกีต้าร์ไฟฟ้าลำตัวตัน Broad-Caster ขึ้นเป็นครั้งแรกแงะมันทำให้ Gibson อยู่เฉยไม่ได้ พวกเขาเร่งพัฒนากีต้าร์ลำตัวตันของตัวเองขึ้นบ้างและรับติดต่อให้เลส พอล มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ และกีต้าร์ Gibson Les Paul ตัวแรกที่ทำออกมาก็คือ GibsonLes Paul Gold Top ปี 1952 หลังจากนั้นก็มีการพัฒนา Gibson Les Paul ออกมาอีกหลายรุ่น อาทิ Les Paul Junior, Special, TV Model และอีกมากมาย แต่มีอยู่รั่นหนึ่งที่อยากพูดถึงก็คือ SGGibson SG ถูกผลิตขึ้นในปีประมาณ '60 หรือ '61 เดิมที Gibson ตั้งใจจะให้เป็นรุ่นหนึ่งของ Les Paul แต่ว่าปู่เลส พอล ไม่ชอบการออกแบบกีต้าร์รุ่นนี้เท่าไหร่ เขาก็เลยขอไม่ให้ใช้ชื่อLes Paul กับรุ่นนี้ ซึ่งทาง Gibson เลยต้องใช้ชื่อว่า SG แบบเฉยๆ แต่กลายเป็นว่า SGเป็นกีต้าร์รุ่นหนึ่งที่ขายดีที่สุดของ Gibson เลยทีเดียว ประจวบกับว่าสัญญาเป็นพรีเซ็นเตอร์ของปู่เลส พอล กับ Gibson หมดลงในปี 1962 พอดีซึ่งตอนนั้นปู่เลส พอลไม่ได้เซ็นต่อเพราะกำลังอยู่ในช่วงทำเรื่องหย่ากับภรรยา (เป็นเรื่องการแบ่งสินสมรสน่ะครับ) เว้นไปจนถึงปี 1966โน่นแน่ะ ปู่เลส พอล ถึงได้เซ็นสัญญาฉบับใหม่กับ Gibson ก็เลยกลายเป็นว่าในช่วงระหว่างปีประมาณ 1964-1967 Gibson จึงไม่ได้ผลิตกีต้าร์ที่มีชื่อ Les Paul ติดอยู่เลย แต่หลังจากนั้นชื่อ Les Paul ก็อยู่คู่กับ Gibson ตลอดจนถึงปัจจุบัน









cr.salimz

ประวัติกีตาร์ไฟฟ้ายี่ห้อต่างๆ (2)



PRS




     

         กีต้าร์ PRS บริษัท ก่อตั้งขึ้นในปี 1985 โดย luthier และนักดนตรี Paul Reed Smith พอลกีต้าร์ตัวแรกของเขาเมื่อเขาถูกท้าทายโดยศาสตราจารย์ด้านดนตรีของเขาในการสร้างหนึ่งสำหรับสินเชื่อพิเศษบางอย่างในขณะที่เขาได้เข้าร่วม Mary 's College เซนต์แมรี่แลนด์ Paul ได้งานที่น่าตื่นตาตื่นใจในกีต้าร์ครั้งแรกของเขาและได้"A"จากอาจารย์ของเขาในทางกลับกัน นี้ทำให้เขาตระหนักถึงความรักของเขากีต้าร์การก่อสร้างและการตัดสินใจที่จะไล่ตามความฝันของเขาและทำให้กีต้าร์สำหรับการใช้ชีวิต

        Paul เริ่มต้นปิดช้าในครั้งแรกและได้รับการตกแต่งกีต้าร์อาจจะหนึ่งเดือน เมื่อเสร็จสิ้นกีต้าร์, พอลก็จะทดสอบโดยใช้มันในช่วงหนึ่งของคอนเสิร์ตวงของเขาจะเล่น เขาก็จะทำการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ตามสิ่งที่เขารู้สึกและได้ยินเสียงหรือความคิดเห็นใด ๆ จากเพื่อนร่วมวงของเขาจะให้ ช่วงไม่กี่ปีแรก, Paul ไปถึงการเปลี่ยนแปลงหลายกับกีต้าร์ของเขารวมถึงการออกแบบตัวการออกแบบลูกคอ, headstocks ที่แตกต่างกันและการทดสอบการรวมกันของหลายชนิดของป่าที่จะได้รับเสียงขวานอกจากนี้เขายังเอาความคิดริเริ่มที่จะหาผู้เล่นกีต้าร์บางส่วนที่สำคัญในการลองกีต้าร์ของเขาเพื่อให้ได้คำเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของเขามีคุณภาพที่ดี Paul นั้นจะแสดงคอนเสิร์ตที่ arenas ท้องถิ่นของเขา 6 หรือ 7 ชั่วโมงก่อนที่คอนเสิร์ตได้เริ่มทำเพื่อเขาจะทำให้เป็นเพื่อนกับ Roadies ส่วนมากของเวลาเมื่อเขาได้เขาก็สามารถไปกลับเวทีได้พยายามที่จะรับผู้เล่นกีต้าร์ลองกีต้าร์ของเขาPaul ได้ทำให้การขายที่อาจจะ 1 ในทุก 10 มือกีต้าร์เขาจะได้รับที่จะพูดคุยให้กับคาร์ลสันเป็นหนึ่งในครั้งแรก นอกจากนี้เขายังให้ข้อเสนอที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับผู้ซื้อของเขา ถึงแม้ว่าเขาดิ้นรนในบันปลายชีวิต, Paul จะสัญญาว่าจะให้พวกเขามีเงินฝากของพวกเขากลับถ้าผู้ซื้อไม่ได้รักกีต้าร์ใหม่ของพวกเขา การรับประกันนี้รวมที่มีคุณภาพและงานฝีมือที่เหนือกว่าก็เป็นกีต้าร์ที่เขาทำง่ายมากสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่จะใช้โอกาส

        หลังจากรวบรวมมากกว่า 50 คำสั่งสำหรับกีต้าร์ของเขาแล้วทำ Paul สองต้นแบบที่จะใช้ในการเดินทางทางธุรกิจทั้งหมดของดีลเลอร์กีต้าร์ของเขายังสามารถหาขึ้นและลงฝั่งตะวันออก เมื่อเขาได้กลับจากการเดินทางธุรกิจของเขาเขามีคำสั่งซื้อเพียงพอที่จะดึงดูดนักลงทุนเพื่อเริ่มต้นการผลิต

         กีต้าร์ PRS เป็นที่รู้จักกันเพื่อเป็นผู้นำในการสร้างของระดับไฮเอนด์กีต้าร์ที่มีคุณภาพสูง การเป็นนักดนตรีตัวเอง, พอลรู้ว่าสิ่งที่เสียงดีในกีต้าร์ เป็น luthier, Paul รู้วิธีที่จะนำเสียงที่เป็นกีต้าร์ที่เขาทำให้ PRS ยังมีพนักงาน บริษัท ผู้รับเหมาที่มีความภาคภูมิใจในการทำงานของพวกเขาและส่วนใหญ่นักดนตรีที่ตัวเองเป็น ดังนั้นการควบคุมคุณภาพจะเริ่มต้นกับพวกเขาและพวกเขาทั้งหมดช่วยกัน










cr.salimz


ประวัติกีตาร์ไฟฟ้ายี่ห้อต่างๆ (1)



Fender











            เฟนเดอร์มิวสิคัลอินสตรูเมนต์คอร์ปอเรชัน (Fender Musical Instruments Corporation) หรือ เฟนเดอร์ เป็นบริษัทสัญชาติอเมริกัน ก่อตั้งโดย ลีโอ เฟนเดอร์ เป็นผู้ผลิตกีตาร์ไฟฟ้ารายแรกที่ใช้วิธีการผลิตแบบอุตสาหกรรม และยังได้เป็นผู้ผลิตเบสไฟฟ้าแบบลำตัวตันขึ้นเป็นเจ้าแรกอีกด้วย บริษัทก่อตั้งในปี 1938 เดิมใช้ชื่อว่า เฟนเดอร์อีเลคทริกอินสตรูเมนต์แมนูแฟคเจอริงคัมปะนี (Fender Electric Instrument Manufacturing Company)  สินค้าของบริษัทที่มีชื่อเสียง ได้แก่ เฟนเดอร์ เทเลแคสเตอร์ (ปี 1950) เฟนเดอร์ พรีซิชันเบส (ปี 1951),เครื่องขยายเสียงแบบหลอดสุญญากาศเฟนเดอร์ เบสแมน (ปี 1952), เฟนเดอร์ สตราโตแคสเตอร์ (ปี 1954) และเฟนเดอร์ แจสเบส (ปี 1960)  ลีโอ เฟนเดอร์ ขายบริษัทเฟนเดอร์ให้กับ โคลัมเบีย บรอดแคสติง ซิสเตม (ซีบีเอส) ด้วยราคา 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี ค.ศ.1965 ภายใต้การบริหารของซีบีเอส บริษัทได้ขยายสายการผลิตไปในหลายประเทศเช่นเม็กซิโก ญี่ปุ่น จีน และเกาหลี และยังได้ออกสินค้าเพื่อรองรับลูกค้าที่มีงบประมาณไม่มากนัก ใช้เครื่องหมายการค้า Squier ต่อมาในปี ค.ศ. 1985 กลุ่มพนักงานบริษัทได้รวมตัวกันซื้อหุ้นบริษัทคืนจากซีบีเอส และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น เฟนเดอร์มิวสิคัลอินสตรูเมนต์คอร์ปอเรชัน จนถึงปัจจุบัน


fender de pantalla guitarras hd widescreen gratis imagenes 406441 Fender Stratocaster Black Wallpaper HD Widescreen Black Wallpaper

Guitar Fender 26421 Hd Wallpapers







cr.salimz





ส่วนประกอบของกีตาร์ไฟฟ้า


 1. ส่วนหัวกีตาร์(Head)

         PegHead หมายถึงส่วนที่ประกอบขึ้นเป็นหัว ซึ่งประกอบไปด้วย ลูกบิด หรือ Tuner หรือ เรียกเต็มๆ Tunning Machine Tuner นั้น ปัจจุบันมีหลายแบบ ทั้งแบบล๊อคได้ และล๊อคไม่ได้ บางรุ่น บางยี่ห้อ อย่าง Fender Stratocaster จะมีString Tree สำหรับไว้ดึงสายให้อยู่ระดับเดียวกับ Tuner 



Head

 2. ส่วนคอกีตาร์(Neck)

         คอ หรือ Neck เป็น ส่วนประกอบกีตาร์ไฟฟ้า ที่สำคัญที่ขาดไม่ได้ของกีต้าร์ทุกตัว คอของกีต้าร์ประกอบด้วย เฟรท(Fret) คือส่วนที่บอกช่องของคอกีตาร์ เฟรทบอร์ด(FretBoard ) หรีอ ฟิงเกอร์บอร์ด (FingerBoard)ส่วนนี้จะเป็นส่วนที่มีไว้เพื่อฝังเฟรท และลายบนคอกีต้าร์ (Inla) หรือฝังมุกที่บอกว่าอยู่เฟรทไหน  ข้างใต้เฟรทบอร์ด ก็จะมีเหล็กดามคอ(Trussrod) เอาไว้เพื่อปรับความโค้งของคอ ให้พอดีกับแรงดึงสาย และคอบางรุ่น จะมีขอบ มันก็คือ Binding นั่นเอง ซึ่ง Bindingนี้ ไม่ค่อยได้มีผลอะไรกับกีต้าร์ นอกจากทำให้ขอบของคอ ลื่น และเพิ่มความสายงามเท่านั้น

         คอในปัจจุบันจะมีความยาว หรือscale Lenght ที่นิยมมากอยู่ 2 ขนาดคือ 25.5 (25 1/2) นิ้ว ซึ่งพบได้ในกีต้าร์ที่มีคันโยก และ ประเภททรงFender ทั่วๆไป และ 24.75(24 3/4) นิ้ว ซึ่งจะพบได้ในกีต้าร์ ทรง Gibson LesPaul 



Neck

 3. ปิ๊กอัพ ( PickUp )     
         คือตัวรับเสียงจากสายกีต้าร์ไฟฟ้า ทำงานด้วยการเหนี่ยวนำของสายกีต้าร์กับเส้นแรงแม่เหล็ก เมื่อสายกีตาร์แกว่งไปมาก็จะทำให้เส้นแรงแม่เหล็กหรือฟลักซ์แม่เหล็กเกิดการเปลี่ยนแปลง และทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าออกมาเป็นคลื่นเสียงจากขดลวดที่พันอยู่บนแม่เหล็ก
          PickUp เรียกอีกอย่างว่าคอนแท็คท์ ( Contact) หรือ (tack)แท็คหมายถึงตัวรับเสียงแบบเปียโซ หรือพายโซ( Piezo) มากกว่า ซึ่งมักจะพบได้ในกีต้าร์โปร่งเป็นส่วนใหญ่
PickUp  มี 2 แบบ คือ SingleCoil หรือ แบบคอยล์เดี่ยว อย่าง กีตาร์Fender Strato Caster และ
 HumBucker หรือแบบคอยล์คู่ อย่าง กีตาร์ ibernez

           
  

 4 . สะพานสาย (Bridge) และ หย่อง (Saddle)      
         Bridge คือ ชุดของสะพาน หย่อง คือที่รองสายกีตาร์  แยกกันเป็น 2 ประเถทใหญ่ๆ คือแบบโยกไม่ได้ (Fixed) และแบบคันโยก (Tremolo) 

        
 



 5. Selector Switch หรือสวิทช์เลือกปิ๊คอัพ

          สวิทซ์สำหรับเลือกปิ๊คอัพ  มีอยู่2-3แบบคือ  Toggle 3-Ways หรือ 3 ทางอย่าง Gibson และ แบบ Lever-Action จะมีทั้ง 3 ทาง และ 5 ทาง 


 



6. ลำตัว( Body )

          ลำตัวในปัจจุบันมีหลายทรงมาก แต่ที่นิยมที่สุดคือทรง LesPaul และ Stratocaster เสียงของกีต้าร์ จะหนา แหลม โดยผลที่ทำให้เสียงแตกต่างกันคือ ไม้ รูปร่าง และวิธีการประกอบลำตัว ไม่ว่าจะเป็น 1 2 หรือ 3 ชิ้น 
          ปิคการ์ด (PickGuard) คือแผ่นป้องกันรอยขีดข่วนต่างๆ จากการใช้ปิ๊ค ไปโดนตัวกีต้าร์นั่นเอง  นอกจากนั้นกีต้าร์บางตัวก็มันจะเพิ่มความสวยงามด้วยการเดินขอบ ( Binding) ซึ่งดูได้จากกีต้าร์ตัวซ้าย ที่มีขอบขาวๆอยู่ 





 7.ชุดคันโยก (tremolo bar)
         คือส่วนที่สามารถโยกสายกีตาร์ไฟฟ้าได้  ปัจจุบันที่ใช้กันคือฟลอยโรสหรือคันโยกอิสระครับ  ซึ่งสามารถโยกขึ้นๆลงๆได้อย่างอิสระช่วยให้นักกีตาร์ สามารถสร้างสรรค์สำเนียงในแบบใหม่ๆได้มากมาย สำหรับคันโยกแบบนี้มักจะมีอุปกรณ์อีกตัวเพิ่มมาคือนัทแบบล็อคสายได้เพื่อช่วยป้องกันสายคลายตัวเมื่อใช้คันโยก จะได้เสียงไม่เพี้ยน



คันโยก Bigsby แบบต่าง ๆ

 คันโยกกีตาร์


คันโยกแบบ Floyd Rose
คันโยกกีตาร์ floydrose




Cr.Pompawit  Trikumpun

กีตาร์ไฟฟ้า (Electric Guitar)


Electric guitar


          กีตาร์ไฟฟ้า (Electric Guitar) คือ กีตาร์ ที่มีการติดตั้งอุปกรณ์ที่มักเรียกว่า Pick Up ทำหน้าที่แปลงการสั่นของสายกีตาร์ให้กลายเป็นสัญญาณอิเล็คทรอนิคส์ ส่งผ่านสายสัญญาณ (Cable) ไปยังเครื่องขยายสัญญาณ (แอมปลิฟายเออร์)และออกสู่ลำโพงในที่สุด     
        กีตาร์ไฟฟ้ามีความแตกต่างจาก
กีต้าร์โปร่ง (Acoustic Guitar) และ กีต้าร์โปร่งไฟฟ้า (Acoustic Electric Guitar) ตรงที่ลำตัวของกีตาร์ไฟฟ้าโดยส่วนมากจะไม่มีโพรงเสียง หรืออาจเรียกว่า "ลำตัวตัน" (Solid Body) อย่างไรก็ดี กีตาร์ไฟฟ้าอาจหมายรวมถึง กีตาร์ที่มีโพรงเสียงบางประเภทที่มีการติดตั้ง Pick Up (Hollow Body Guitar)ซึ่งนิยมใช้เล่นในแนวดนตรีประเภทแจ๊ส หรือ บลูส์
     

Guitar Effect


        ปัจจุบันนิยมนำสัญญาณเสียงที่ได้จากกีตาร์ไฟฟ้ามาดัดแปลงผ่านอุปกรณ์ดัดแปลงสัญญาณ (
Guitar Effect) ก่อนเข้าสู่เครื่องขยายสัญญาณ เพื่อให้ได้ลักษณะเสียงที่มีความแตกต่างหลากหลายมากขึ้นจากกีตาร์ตัวเดียว
กีตาร์ไฟฟ้าเป็นที่นิยมแพร่หลาย และใช้เล่นกันในแทบทุกประเภทดนตรี เนื่องจากความสะดวกในการใช้งานและการปรับแต่งเสียง กีตาร์ไฟฟ้าผลิตออกมาในหลายระดับคุณภาพและราคา บริษัทที่ผลิตกีตาร์ไฟฟ้ามีหลายบริษัทอาทิเช่น Gibson,Fender,PRS,B.CRichguitars,ESP,Ibanez,BallMusicman,Rickenbacker,YAMAHA, Epiphone เป็นต้น





ประวัติความเป็นมาของกีตาร์ (2)


         

       กีตาร์ถือเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ชนิดหนึ่งของมนุษย์เพียงแต่ชื่อเรียกและรูปร่างย่อมแตกต่างกันไปตามแต่ละยุคสมัย ซึ่งเริ่มเป็นที่นิยมในแถบเปอร์เซียและตะวันออกกลางหลายประเทศต่อมาได้เผยแพร่ไปยังกรุงโรมโดยชาวโรมันหรือชาวมัวร์ จากนั้นก็เริ่มได้รับความนิยมในสเปน ในยุโรปกีตาร์มักเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูง และมีเชื้อพระวงศ์หลายพระองค์ที่ให้ความสนใจและศึกษาอย่างเช่น Queen Elizabeth I ซึ่งโปรดกับ Lute lซึ่งถือว่าเป็นต้นแบบของกีตาร์ก็ว่าได้ แต่การพัฒนาที่แท้จริงนั้นได้เกิดจากการที่นักดนตรีได้นำมันไปแสดงหรือเล่นร่วมกับวงดนตรีของประชาชนทั่ว ๆ ไปทำให้มีการเผยแพร่ไปยังระดับประชาชนจนได้มีการนำไปผสมผสานเข้ากับเพลงพื้นบ้านทั่ว ๆ ไปและเกิดแนวดนตรีในแบบต่าง ๆ มากขึ้น


Fernando Sor


         บุคคลที่สมควรกล่าวถึงเมื่อพูดถึงประวัติของกีตาร์ก็คือ Fernando Sor ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีความสำคัญและมีอิทธิพลต่อวงการกีตาร์เป็นอันมากเนื่องจาการอุทิศตนให้กับการพัฒนารูปแบบการเล่นกีตาร์เทคนิคต่าง ๆ และได้แต่งตำราไว้มากมาย ในปี 1813 เขาเดินทางไปยังปารีตซึ่งเขาได้รับความสำเร็จและความนิยมอย่างมาก จากนั้นก็ได้เดินทางไปยังลอนดอนโดยพระราชูปถัมป์ของ Duke of Sussex และที่นั่นการแสดงของเขาทำให้กีตาร์เริ่มได้รับความนิยม จากอังกฤษเขาได้เดินทางไปยังปรัสเซีย รัสเซียและได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวเมืองเซนต์ ปีเตอร์เบิร์ก ซึ่งที่นั่นเขาได้แต่งเพลงที่มีความสำคัญอย่างมากเพลงหนึ่งถวายแก่พระเจ้า Nicolus I จากนั้นเขาก็ได้กลับมายังปารีตจนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อปี 1839 หลังจากนั้นได้มีการเรียนีการสอนทฤษฎีกีตาร์ที่เด่นชัดและสมบูรณ์มากขึ้น ทำให้กีตาร์ได้รับการพัฒนาอย่างมาก  หลังจากนั้นมีอีกผู้หนึ่งที่มีความสำคัญต่อกีตาร์เช่นกันคือ Francisco Tarrega (1854-1909) ซึ่งเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนแต่ด้วยความสามารถด้านดนตรีของเขาก็ทำให้เขาประสบความสำเร็จจนได้จากการแสดง ณ Alhambra Theater จากนั้นเขาได้เดินทางไปยัง Valencia, Lyons และ Paris เขาได้รับการยกย่องว่าได้รวมเอาคุณสมบัติของเครื่องดนตรี 3 ชนิดมารวมกันคือ ไวโอลิน, เปียโน และ รวมเข้ากับเสียงของกีตาร์ได้อย่างไพเราะกลมกลืน ทุกคนที่ได้ฟังเขาเล่นต่างบอกว่าเขาเล่นได้อย่างมีเอกลักษณ์และสำเนียงที่มีความไพเราะน่าทึ่ง หลังจากเขาประสบความสำเร็จใน London, Brussels, Berne และ Rome เขาก็ได้เดินทางกลับบ้านและได้เริ่มอุทิศตนให้กับการแต่งเพลงและสอนกีตาร์อย่างจริงจัง ซึ่งนักกีตาร์ในรุ่นหลัง ๆ ได้ยกย่องว่าเขาเป็นผู้ริเริ่มการสอนกีตาร์ยุคใหม่


Andres Sergovia

         อีกคนหนึ่งที่จะขาดไม่ได้คือ Andres Sergovia ผู้ซึ่งเดินทางแสดงและเผยแพร่กีตาร์มาแล้วเกือบทั่วโลกเพื่อให้คนได้รู้จักกีตาร์มากขึ้น (แต่คงไม่ได้มาเมืองไทยน่ะครับ) ทั้งการแสดงเดี่ยวหรือเล่นกับวงออเคสตร้า จนเป็นแรงบันดาลใจให้มีการแต่งตำราและบทเพลงของกีตาร์ขึ้นมาอีกมากมาย อันเนื่องมาจากการเผยแพร่ความรู้ในเรื่องกีตาร์อย่างเปิดเผยและจริงจังของเขาผู้นี้ นอกจากนี้ผลงานต่าง ๆ ของเขาได้ทำให้ประวัติศาสตร์กีตาร์เปลี่ยนหน้าใหม่เพราะทำให้นักีตาร์ได้มีโอกาสแสดงใน concert hall มากขึ้น และทำให้เกิดครูและหลักสูตรกีตาร์ขึ้นในโรงเรียนดนตรีอีกด้วย