วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

กลุ่มเอ็ฟเฟ็ค (Effects units)

        คืออุปกรณ์อีเล็กทรอนิก ซึ่งดัดแปลง  สิ่งที่เกิดจาก เครื่องดนตรี( Musical instrument) หรือแหล่งกำเนิดเสียงอื่นๆ เอ็ฟเฟ็ค บางชนิดเหมาะกับการแต่งสีสันให้กับเสียง ขณะที่ชนิดอื่นเปลี่ยนแปลงเสียงเพื่อความเร้าใจ (dramatically) เอ็ฟเฟ็ค สามารถใช้ระหว่างการแสดงสด ซึ่งมักถูกใช้กับ กีต้าร์ไฟฟ้า (electric guitar), คีย์บอร์ด (keyboard), หรือ เบส (bass) หรือการบันทึกเสียงในสตูดิโอ (studio)
       ในขณะที่ส่วนใหญ่เรามักจะใช้กับเครื่องไฟฟ้าหรืออิเล็กทรอนิก เอ็ฟเฟ็คก็ยังสามารถใช้กับเครื่องอะคูสติก (acoustic instruments) และ กลองชุด ตัวอย่างเอ็ฟเฟ็คที่นิยมใช้กันคือ แป้นวาว (wah-wah pedals) กล่องเสียงแตก (fuzzboxes) และกลุ่มรีเวิร์บ (reverb units)

wah-wah pedals




fuzzboxes

        กลุ่มเอ็ฟเฟ็ค มาในหลากหลายรูปแบบ ที่แพร่หลายมากที่สุดคือแบบ “ชุดเหยียบ stompbox” และแบบ “ใส่แร็ค rackmount” หรือ เอ็ฟเฟ็คแบบ บิลท์อิน Built-in คือติดตั้งอยู่ในตู้แอมป์หรือ มิกเซอร์ เพื่อความสะดวกและประหยัด ในปัจจุบันการแบ่งประเภทของเอ็ฟเฟ็ค และการเรียกชื่อชนิด อาจมีความเห็นไม่สอดคล้องกันในแต่ละค่ายของผู้ผลิตคิดค้นอุปกรณ์เหล่านี้

cr.numneungguitar





แอมป์กีตาร์ไฟฟ้า
- Guitar Amplifiers   


  
   
File:Marshall Anniversary edition guitar amplifiers.jpg


          แอมป์ คือเครื่องที่ทำหน้าที่ขยายเสียงของเครื่องดนตรีหลายชนิด แอมป์สำหรับกีตาร์ไฟฟ้าจะออกแบบมาสำหรับกีตาร์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ มีหน้าที่คือ ขยายเสียงกีตาร์ไฟฟ้าให้ดัง
          ในเรื่องแอมป์ของกีตาร์ไฟฟ้านั้น เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เพราะการขยายเสียงของแอมป์แต่ละตัวนั้นจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน แอมป์มีหลายยี่ห้อ หลายขนาด การออกแบบของแต่ละรุ่นก็ไม่เหมือนกัน โดยขึ้นอยู่กับความพึงพอใช้ของผู้ใช้   
         สิ่งที่ต้องคำนึงอันดับแรกในการพิจารณาซื้อแอมป์สำหรับกีตาร์ คือ ขนาดและประเภท เพราะขนาดของแอมป์ จะบ่งบอกว่าเราจะเอาไปเล่นในที่แบบไหน และเพื่อจุดประสงค์อะไร หากเราเอาไว้ซ้อมที่ห้อง ขนาดก็ไม่จำเป็นต้องใหญ่มาก วัตต์ก็ไม่ต้องเยอะ แต่หากว่าเราเอาไปเล่นเป็นวงที่มีกลองจริง แอมป์ก็จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่พอที่จะสู้กับเสียงกลอง เสียงร้อง หรือเบส และคีย์บอร์ดได้
     
         
 แบ่งขนาดแอมป์กีตาร์เป็น 4 ขนาด คือ ใหญ่ กลาง เล็ก และขนาดแบบเล็กจิ๋ว  ความต่างในแต่ละขนาดคือ ความดัง (กำลังวัตต์ขยาย) (ขนาด คือ จำนวนของลำโพง)
          1.ขนาดใหญ่ คือ ความดังในระดับที่มากที่สุด 100 วัตต์ขึ้นไป ใช้ลำโพง 12 จำนวน 2-4 ดอก อาจเป็นแบบหัวแยกหรือคอมโบ(แบบรวมในตู้เดียว) เหมาะกับใช้เล่นบนเวทีกลางแจ้ง หรือเวทีใหญ่ๆ ซึ่งต้องการความดัง อาจจะมีการใช้หลายๆ ตู้ โดยการพ่วงกัน





          2.ขนาดกลางๆ คือ ไม่ดังมาก ขนาด 50-100 วัตต์ ลำโพง 10-12 นิ้ว ติด 1-2 ตัว /ตู้  ใช้เล่นที่เล็กลง อย่างร้านอาหาร ผับที่ไม่ใหญ่มาก วงที่เล่นไม่ดังมาก






          3.ขนาดเล็ก คือ ขนาดที่สามารถหิ้วไปมาได้สะดวก ลำโพงก็ 5-10 นิ้ว กำลังแอมป์วัตต์ก็ 5-15 วัตต์ เหมาะสำหรับเป็นแอมป์สำหรับการซ้อม ที่บ้านหรือห้องนอน



BEHRINGER GM108 ตู้แอมป์กีต้าร์สไตล์โมเดิร์น ขนาด 15 วัตต์ สินค้าใหม่ - คลิกที่นี่เพื่อดูรูปภาพใหญ่




          4.ขนาดจิ๋ว คือ แอมป์หูฟังทั้งหลาย ใช้เล่น ซ้อม โดยไม่ให้เสียงรบกวนคนอื่น หรือไม่ต้องการให้เกิดเสียงดังมากเกินไป พกพาสะดวก ใช้ถ่าน

     Mini Guitar Amplifier
         
        สำหรับแอมป์ขนาด ระดับใหญ่-กลาง มักจะใช้ผสมกันอยู่แล้วแต่วงดนตรีแต่ละวง ขึ้นอยู่กับนักดนตรีว่าต้องการให้เสียงที่เล่นดังแค่ไหน         
         ประเภทของแอมป์ มี
2 อย่าง คือ แอมป์หลอด และทรานซิสเตอร์ 
ส่วนใหญ่แอมป์จะเป็นแบบทรานซิสเตอร์ และหลอดล้วน หรือผสมกัน แต่ราคาแอมป์หลอดก็จะสูงกว่าแอมป์ทรานซิสเตอร์ เป็น2 เท่า เพราะผลิตจำนวนน้อยกว่า 

แอมป์กีตาร์ที่ดีควรมีอะไรบ้าง
?
          หากเราไม่มี Effects ใช้ แอมป์กีตาร์ที่มีก็ต้องจำเป็นให้ครบทุกอย่าง ทุกส่วนประกอบ แต่หากมือกีตาร์มี Effect เป็นแผงอยู่ตรงพื้นแล้วล่ะก็ แอมป์ channel เดียวก็เพียงพอ แต่แอมป์กีตาร์ที่ผลิตมาขายไม่ได้คิดอย่างที่ว่ามา เลยให้มา 2 channel เป็นส่วนใหญ่ ส่วน Effect ก็มีบ้างไม่มีบ้าง แล้วแอมป์ที่ให้ครบทุกอย่างเป็นอย่างไร? 
1. เป็นสิ่งที่สำคัญมากคือต้องมีเสียงที่ดี 
2. ควรมี 2 Channel สำหรับเสียงคลื่นธรรมดา กับ เสียงแตกOverdrive-Distortion พร้อม Volume แยกแต่ละ Channel  ปุ่มปรับTone ทุ้ม กลาง แหลม ทั้ง 2 Channel ยิ่งมีให้ปรับมากยิ่งดี
3. มี Master Volume สำหรับความดังโดยรวม ซึ่งจะเร่งไปทั้ง 2 Channel
4. มี Effect ให้เพียงพอกับการเล่นทั่วไป คือ Reverb - Delay - Chorus อื่นๆ ของแถม คือ ช่อง CD IN , ช่องเสียบหูฟังสำหรับซ้อม ช่อง Line out , มีช่อง Loop Effect Send-return , Speaker out สำหรับต่อลำโพงเพิ่ม เพื่อให้ดังขึ้น

 


Cr. Maximum Sound                 


วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ประวัติกีตาร์ไฟฟ้ายี่ห้อต่างๆ (7)


Schecter

 


          ร้านซ่อมกีตาร์ Schecter ถูกเปิดขึ้นครั้งแรกในปี 1976 โดยเดวิด Schecter ในแวนนายส์แคลิฟอร์เนีย และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของโรงงานที่ผลิตกีต้าร์จำนวนมากมายขึ้นมาในอนาคต ร้านซ่อมกีตาร์ผลิตชิ้นส่วนอะไหล่ทดแทนและจัดที่สุดทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับคุณในการทำกีตาร์ แต่ไม่ได้มีการสร้างแบรนด์ตัวเอง ในช่วงเวลานั้น ลูกค้าหลักของพวกคือ บริษัท ผลิตกีตาร์ใหญ่กิบสันและเฟนเดอร์
          ในที่สุดในปี 1979 Schecter เริ่มทำกีต้าร์ของตัวเองเพื่อจะขายให้กับนักกีต้าร์ทั่วไป การออกแบบอยู่บนพื้นฐานของการออกแบบกีตาร์ Fender และมีราคาแพงมากเพราะส่วนที่มีคุณภาพสูงและจำนวนที่ผลิตได้น้อย ในระหว่างนั้น Pete Townshend ได้ชื่นชอบกีตาร์ Schecter ในทันทีที่เขาได้สัมผัสมัน เพราะตรงทางกับเพลงที่เขาใช้เล่นอยู่Mark Knopfler จากสเตรทส์เป็นศิลปินรายต่อไปสูงที่ชื่นชอบกีตาร์ Schecter เขาจะมาลงเอยกับกีตาร์ Schecter หลายปีที่ผ่านและหนึ่งขายได้ในการประมูล 50,000 ดอลลาร์สำหรับในปี 2004
         ในปี 1983 Schecter หมดทรัพยากรและไม่สามารถที่จะผลิตกีต้าร์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดังนั้นบริษัทกีตาร์ Schecter จึงจบลงด้วยการขายบริษัทของพวกเขาให้กับกลุ่มของนักลงทุนเท็กซัสซึ่งเป็นตระหนักดีถึงชื่อเสียงที่ดีของชื่อ Schecter และคุณภาพสูงสุดของกีต้าร์ของพวกเขา รู้นี้เจ้าของคนใหม่คาดว่าจะสามารถที่จะทำกำไรได้ด้วยการขยายการดำเนินงานและการเคลื่อนย้ายของ บริษัท ที่จะดัลลัส, เท็กซัส แต่น่าเสียดายที่การโยกย้ายนี้ทำได้ไม่ดีเพราะพนักงานดั้งเดิมส่วนใหญ่ไม่ย้ายไปที่เท็กซัสและนี้ก็นำไปสู่การออกแบบที่ย่ำแย่ลง รวมถึงคุณภาพที่ต่ำลงจากการออกแบบโดยพนักงานชุดใหม่ กีต้าร์ที่ถูกผลิตในเวลานี้จึงถูกกล่าวถึงในแง่ของสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ  แม้ว่าพวกเขากำลังอยู่ในสภาวะที่ยากลำบากนี้ แต่ Schecter ก็ยังพยายามที่จะสร้างชื่อเสียงขึ้งใหม่โดยใช้ชื่อของ Yngwie Malmsteen เพื่อรับรองกีตาร์ของพวกเขา พวกเขายังปล่อยรุ่นใหม่หลายคนรวมทั้งกีตาร์สไตล์แคสเตอร์ที่ Pete Townshend เรียกว่า ดาวเสาร์ รูปแบบที่นิยมของพวกเขามาจากพื้นฐานในการออกแบบของ รุ่นStratocaster ถึงแม้จะมีการออกแบบใหม่ๆ มาช่วยก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังประสบปัญหาในการระบายของที่ถูกเชื่อว่าเป็นของเกรดคุณภาพต่ำ
        ในปี 1987 บริษัท ฯ ได้ถูกซื้อไปโดยผู้ประกอบการชาวญี่ปุ่นที่ชื่อ Hisatake ชิบูย่า Hisatakeไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเครื่องดนตรี และ ดนตรี เขาเป็นเจ้าของกีตาร์ ESP สถาบันดนตรีในฮอลลีวู้ด เขาย้าย Schecter กลับไปแคลิฟอร์เนียและในไม่ช้านำชื่อเสียงของ บริษัท กลับไปทางที่มันเคยเป็น บริษัท กลับไปใช้วิธีการเดิมของการผลิตที่มีคุณภาพสูง กีต้าร์สั่งทำที่มีราคาสูง กีต้าร์ถูกสร้างขึ้นในจำนวนที่น้อย และแจกจ่ายให้ตัวแทนจำหน่ายที่น้อย
        ในปี 1996 Hisatake ได้ทำการว่าจ้าง ไมเคิล Ciravolo .shเป็นประธานของ Schecter ไมเคิลเป็นนักดนตรีที่มีประสบการณ์และเคยเป็นพนักงานที่ทำงานในร้ายกีต้าร์ของ Hisatake Ciravolo จบลงด้วยการที่นำในบางนักดนตรีรายละเอียดสูงเพื่อรับรองกีตาร์ Schecter รวมทั้งโรเบิร์ต DeLeo และฌอน Yseult (Zombie สีขาว) ไมเคิล Ciravolo ยังไม่ชอบการออกแบบสไตล์ Fender เขาจึงพัฒนาออกแบบใหม่ในรูปแบบ Avenger, Hellcat and Tempest เขายังต้องการที่จะผลิตกีตาร์ราคาไม่แพงมากและเปิดโรงงานใน Inchon, เกาหลีใต้ซึ่งในขณะเวลานี้ ไมเคิลสร้างความมั่นใจว่ากีต้าร์ของเขาจะได้รับการผลิตออกมาอย่างมีคุณภาพเช่นเดียวที่ได้รับการผลิตทั้งหมด ส่วนที่ถูกสร้างขึ้นในโรงงานชาวเกาหลีใต้และจากนั้นส่งไปยังร้านค้าของพวกเขาในสหรัฐกีตาร์ที่จะประกอบ นี้จะนำไปสู่การสร้างรุ่น Diamond Series Schecter Guitars








cr.salimz

ประวัติกีตาร์ไฟฟ้ายี่ห้อต่างๆ (6)


Hamer  




         Hamer เป็นกีต้าร์ที่หลายๆคนมองข้ามไป อาจเป็นเพราะ แบรนด์ไม่ติดหูหรือ ไม่ค่อยมีคนนิยมใช้ หากแต่ว่ากีต้าร์ยี่ห้อเป็นกีตาร์ที่มีมานานแล้วไม่ต่ำกว่า 30 ปี มีต้นกำเนิดในประเทศสหรัฐอเมริกา








cr.salimz

ประวัติกีตาร์ไฟฟ้ายี่ห้อต่างๆ (5)


Ibanez

  

                         



        Ibanez ในหมู่ร็อคเกอร์ทั่วโลกไม่มีใครไม่รู้จักกีตาร์ยี่ห้อนี้อย่างแน่นอน ด้วยประวัติศาสตร์ที่มีมายาวนาน
 
        ยี่ห้อ Ibanez มีที่มาจากปี 1929 เมื่อ Hoshino Gakki นำเข้ากีตาร์ยี่ห้อ Salvador Ibanez จากสเปน เมื่อโรงงานของ Salvador Ibanez ถูกทำลายในช่วงสงครามกลางเมืองในสเปน กีตาร์ยี่ห้อนี้ก็เลยไม่มีขายอีกต่อไป Hoshino Gakki ก็เลยไปซื้อยี่ห้อ(แบรนด์) มาแล้วก็เริ่มทำกีตาร์สเปนขายเองในช่วงปลายปี 1935 แล้วก็เปลี่ยนชื่อยี่ห้อเป็น Ibanez ในภายหลัง
       
        หากคุณต้องการประวัติทั้ง หมด Ibanez คุณต้องย้อนอดีตกลับไปในปี 1908 เมื่อ บริษัท ชื่อ Hoshino เริ่มเป็นที่เก็บเพลงแผ่นและจัดจำหน่ายสินค้าเพลงต่อไปในนาโกย่าประเทศ ญี่ปุ่น ตัดเรื่องขายแผนเพลง เข้าเรื่องกีตาร์กันดีกว่า กลับไปเมื่อปี '45 เมื่อ Hoshino เริ่มจำหน่ายกีตาร์สเปนชื่อ Ibanez และในช่วงปี '60 เมื่อ Hoshino ที่ตามเวลาที่ได้ซื้อสิทธิ์ในชื่อ Ibanez เริ่มส่งกีต้าร์ดูจี๊ดจ๊าดอย่างเหลือเชื่อในสหรัฐอเมริกาหลายแห่งที่มีการ จำหน่ายจริงในห้างสรรพสินค้า
     
         Ibanez เริ่มต้นเกือบ 30 ปีมาแล้วเมื่อ Hoshino เปิดสำนักงานใกล้ Philadelphia, PA เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดจำหน่ายกีต้าร์ Ibanez ไปทั่วสหรัฐอเมริกา ส่วนใหญ่กีต้าร์ที่มี คุณภาพสูง Ibanez นั้นมีชื่อเสียงพอตัว แต่ไม่แพงมาก

        ยุคแรกๆIbanez เป็นกีตาร์ที่Coppyรูปทรงของยี่ห้อดังๆขาย เหมือนBaracuda ทำให้ช่วงปี75 โดนGibsonฟ้อง จุดนี้เอง Ibanez เริ่มการออกแบบของตัวเองคือ Iceman (ทำครั้งแรกที่มีชื่อเสียงโดย Paul Stanley วงKiss และ guitars George Benson, นักดนตรีแจ๊สออกแบบกีตาร์แจ๊สครั้งแรก ทำให้กีต้าร์ Ibanez ต่อเพื่อเพิ่มมูลค่าคุณค่าแก่การสะสมสะสม  โดย ยุค 80 ที่มีความสนใจในกีตาร์ที่เพิ่มขึ้นกับ Ibanez ร่วมกับผู้เล่นเช่น Steve Vai, Joe Satriani และ Paul Gilbert และนำออก Jem, JS, RG และรุ่น S วันนี้รุ่นปัจจุบันเช่น รุ่นนี้ถือว่ายังคงมาตรฐานในฮาร์ดร็อคกีต้าร์ โดยเฉพาะรุ่น Jem ของ Steve Vai และ RG550สร้างชื่อเสียงให้กับIbanezมากๆ จนประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม และIbanez ก็สร้างชื่อในด้านกีตาร์แจ๊สด้วย คือ George Benson และ John Scofield

                                

                                




cr.salimz

ประวัติกีตาร์ไฟฟ้ายี่ห้อต่างๆ (4)



Epiphone


  

       Epiphone เป็นกีต้าร์ที่มีต้นกำเนินที่ประเทศกรีซ ในปี 1873 ชื่อEpiphone  มาจากชื่อของเจ้าของกิจการ Epamainondas  กับคำว่า เสียง phone ในกรีซ เจ้าของกิจการเป็นเพื่อนกันกับ les pual ทางด้าน les pual ได้เข้ามาดูโรงงานของ epin ในปี 1941 เพื่อประกอบกีต้าร์ลำตัวตันตัวแรกของ Epiphone  ชื่อรุ่น The log  แล้วได้ให้คำแนะนำต่างๆ จากนั้น ทาง Gibson ที่ les pual เป็นเจ้าของได้ซื้อกิจการรวมเป็นบริษัทเดียวกัน












cr.salimz

ประวัติกีตาร์ไฟฟ้ายี่ห้อต่างๆ (3)


Gibson 

 

          Gibson บริษัทผลิตกีตาร์ ทั้งกีตาร์โปร่งและกีตาร์ไฟฟ้า กำเนิดขึ้นโดย นาย Orville H. Gibson ในปี 1856 ทางตอนเหนือของนิวยอร์ก แต่หากกล่าวถึงการกำเนิดของกีต้าร์ที่กลายเป็นตำนานอย่าง Gibson Les Paul เราคงจะต้องนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปปี 1941 ตอนนั้นปู่เลส พอล อายุ 26 ระหว่างการแสดงดนตรีกลางแจ้งคืนหนึ่งมีคนฟังบ่นให้ฟังว่าเขาไม่ค่อยได้ยินเสียงกีต้าร์ของเลส พอล เลย ว่าแล้วปู่เลส พอล ก็กลับไปบ้านจัดการดึงเอาหัวเข็มที่ติดอยู่บนเครื่องเล่นแผ่นเสียงของพ่อมาติดที่บริดจ์กีต้าร์จากนั้นก็ต่อวงจรไฟฟ้าให้เสียงไปออกที่ PA ทีนี้ทุกคนก็ได้ยินเสียงของปู่เลส พอล ชัดเจน แต่ปัญหาอย่างนึงที่ตามมาคือซาวน์โฮลของกีต้าร์โปร่งมันทำให้เกิดปี๊คแบ็ค ปู่เลส พอล ก็เลยเอาเศษผ้าและปูนปลาสเตอร์อุดเข้าไป แต่ว่ามันทำให้กีต้าร์หนักมากเกินไป

       ปู่เลส พอล เลยตัดสินใจสร้างกีต้าร์ลำตัวตันขึ้นมาเอง ด้วยการงัดเอาไม้หมอนรางรถไฟมาใส่สายกีต้าร์แล้วก็ติดหัวเข็มแผ่นเสียงไว้ที่บริดจ์ เมื่องเล่นดูพบว่ามันให้เสียงที่เพอร์เฟ็กต์ทีเดียวเขาเลยไปให้แม่ดูด้วยความภาคภูมิใจแต่กลับได้รับคำวิจารณ์ว่า "คงไม่มีใคร(บ้า)กล้าถือมันออกไปเล่นหรอก" ปู่เลส พอล ไม่ยอมแพ้ เขาเอากลับมาปรับปรุงหน้าตาใหม่ ทีนี้เปลี่ยนเป็นท่อนไม้หน้า 4x4 นิ้วมาติดอุปกรณ์เหมือนเดิม เสร็จแล้วก็เอาออกไปแสดงสดกับวงด้วยความปลื้มสุดๆเพราะปู่เลส พอล เล่าว่าคนดูไร้การตอบสนองโดยสิ้นเชิง ปู่เลส พอล จึงกลับมาดีไซน์และสร้างกีต้าร์ขึ้นใหม่โดยไปใช้โรงงานของ Epiphone โดยยังคงใช้ท่อนไม้อันเดิม แต่เอามาติดปีดสองข้างที่เอาจากกีต้าร์ Epiphone ทีนี้ปู่เลส พอล ก็ได้กีต้าร์ไฟฟ้าลำตัวตัวที่มีรูปร่างหน้าตาดูสมเป็นกีต้าร์ขึ้นมาแล้วครับ แล้วเอาไปเล่นสดอีกครั้ง ทีนี้คนดูปรบมือเกรียวเลยครับ ปู่เลส พอล จึงได้ตระหนักว่า "ที่แท้คนฟังเขาฟังเพลงกันด้วยตา!!!" เพราะจริงๆแล้วมันก็เป็นท่อนไม้ท่อนเดิมเพียงแต่นำไปติดปีกและกีต้าร์ตัวนี้ก็คือ "The Log" หนึ่งในต้นกำเนิดของกีต้าร์ไฟฟ้าลำตัวตันนั่นเองในความคิดของปู่เลส พอล

        "The Log" คือกีต้าร์ไฟฟ้าลำตัวตันที่จะสามารถเปลี่ยนโฉมหน้ากีต้าร์แบบเดิมๆ เขาจึงนำไอเดียอันแสนบรรเจิดนี้ไปเสนอบริษัท Gibson แต่คนที่นั่นกลับมองว่ามันเป็นความคิดที่ไม่ได้ท่า แถมยังเรียก The Log ของปู่เลส พอล ว่า" เป็นแท่งไม้กวาดติดปิ๊คอัพ"อีกต่างหาก ทำให้ช่วงทศวรรษ '40 ปู่เลส พลอ ต้องเก็บไอเดียกีต้าร์ไฟฟ้าลำตัวตันใส่ลิ้นชักไปคือเราต้องเข้าใจก่อนว่าช่วงทศวรรษ '40 กีต้าร์ที่มีลำตัวโปร่งเป็นที่นิยมอย่างมาก ถ้าไม่มีซาวด์โฮมันก็คือแท้งไม้กวาดหรือไม่ก็ไม่เบสบอล และช่วงนั้นเป็นยุคทองของดนตรี "บิ๊กแบนด์"ที่โดดเด่นด้วยเครื่องเป่าทองเหลืองและเครื่องลมไม้ เป็นยุคแห่งดนตรี "สวิง" นอกจากนั้นมันยังเป็นอคติลึกๆ ว่าเครื่องดนตรีไฟฟ้าทำให้คุณค่าของศิลปิะลดลงช่วงทศวรรษ '50 Leo Fender เปิดตัวกีต้าร์ไฟฟ้าลำตัวตัน Broad-Caster ขึ้นเป็นครั้งแรกแงะมันทำให้ Gibson อยู่เฉยไม่ได้ พวกเขาเร่งพัฒนากีต้าร์ลำตัวตันของตัวเองขึ้นบ้างและรับติดต่อให้เลส พอล มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ และกีต้าร์ Gibson Les Paul ตัวแรกที่ทำออกมาก็คือ GibsonLes Paul Gold Top ปี 1952 หลังจากนั้นก็มีการพัฒนา Gibson Les Paul ออกมาอีกหลายรุ่น อาทิ Les Paul Junior, Special, TV Model และอีกมากมาย แต่มีอยู่รั่นหนึ่งที่อยากพูดถึงก็คือ SGGibson SG ถูกผลิตขึ้นในปีประมาณ '60 หรือ '61 เดิมที Gibson ตั้งใจจะให้เป็นรุ่นหนึ่งของ Les Paul แต่ว่าปู่เลส พอล ไม่ชอบการออกแบบกีต้าร์รุ่นนี้เท่าไหร่ เขาก็เลยขอไม่ให้ใช้ชื่อLes Paul กับรุ่นนี้ ซึ่งทาง Gibson เลยต้องใช้ชื่อว่า SG แบบเฉยๆ แต่กลายเป็นว่า SGเป็นกีต้าร์รุ่นหนึ่งที่ขายดีที่สุดของ Gibson เลยทีเดียว ประจวบกับว่าสัญญาเป็นพรีเซ็นเตอร์ของปู่เลส พอล กับ Gibson หมดลงในปี 1962 พอดีซึ่งตอนนั้นปู่เลส พอลไม่ได้เซ็นต่อเพราะกำลังอยู่ในช่วงทำเรื่องหย่ากับภรรยา (เป็นเรื่องการแบ่งสินสมรสน่ะครับ) เว้นไปจนถึงปี 1966โน่นแน่ะ ปู่เลส พอล ถึงได้เซ็นสัญญาฉบับใหม่กับ Gibson ก็เลยกลายเป็นว่าในช่วงระหว่างปีประมาณ 1964-1967 Gibson จึงไม่ได้ผลิตกีต้าร์ที่มีชื่อ Les Paul ติดอยู่เลย แต่หลังจากนั้นชื่อ Les Paul ก็อยู่คู่กับ Gibson ตลอดจนถึงปัจจุบัน









cr.salimz